จากบทความที่แล้ว ทำความเข้าใจกับ Verified by VISA และ MasterCard SecureCode เมื่อลงพื้นที่จริงการ Verify by Visa เพื่อให้เกิดการซื้อขายบน Internet จริงนั้น เมื่อเจ้าของบัตรมีการใช้บ้ตร Credit Visa Card และ Master Card จะทำการจ่ายเงิน online เมื่อข้อมูลจำนวนเงินถูกส่งค่าเข้าไปที่ Payment Gateway ของธนาคารใดธนาคารหนึ่งนั้น จะมีการตรวจสอบเหมือนกับการที่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ทางโทรศัพท์เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของบัตรจริง แต่ พฤติกรรมของคน ส่วนใหญ่ การใช้บัตรเครดิตนั้น จะมีการเคยชิน กับการ เซ็นต์หลังบัตร ในการซื้อสินค้ามากกว่า ความสะดวกสบาย กับการใช้บัตรเครดิต ผ่าน Internet นั้นจะมีขั้นตอนต่างกันมาก หรือ เรียกอีกอย่างว่า ยากมากกว่า ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของเจ้าของบัตรเอง
หน้าจอส่วนหนึ่งหลังจากการใช้บัตรเครดิตครั้งแรก เมื่อมีการ Verify ขึ้นมา จะมีการถามข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เช่น วันเดือนปี เกิด หมายเลขบัตรประชาชน วงเงินที่ได้รับอนุมัติ รวมถึงให้กำหนด รหัส Password ในอนาคต ขึ้ันมาเมื่อมีการซื้อสินค้าครั้งต่อไป ส่วนใหญ่แล้ว คนอายุประมาณ 40 ขึ้นไป มักจะจำข้อมูลที่สำคัญเหล่านี้ไม่ได้ หรือ อีกอย่างมีขั้นตอนมากเกินความจำเป็น ทำให้ไม่ซื้อสินค้าที่เรากำลังเลือกอยู่ ทำให้ยอดขายที่จะเกิดขึ้นนั้น ผลพลอยได้คือ ขายไม่ได้อีก (ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ยังติด กับ ความเคยชินในการซื้อแล้วเซ็นต์หลังบัตร) ซึ่งเมื่อใส่ข้อมูลถูกต้องแล้วตั้ง รหัสผ่านตามที่ระบบได้ให้ไว้ ข้อมูล จะทำ Transection จนไปถึงขั้นตอน อนุมัติ (Approved) วงเงินนั่นคือ ระบบได้ตัดเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รูปแบบการ Verify จะมีหลากหลายการให้ใส่ข้อมูล รวมถึง ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เช่นการขอ OTP (One Time Password) คือการส่ง Password เข้าระบบมือถือ ต่อการซื้อสินค้า 1 ชิ้น เพื่อเพิ่มความรักษาปลอดภัยของบัตรเราเอง
สำหรับการ Verify เมื่อบัตรมีการใส่ข้อมูลเกิน 2 ครั้งแล้ว มีการ activate แล้วไม่ผ่าน บัตรจะถูก Lock โดยการแก้ไขการถูก Lock ก็คือการติดต่อเจ้าของบัตรเครดิต ที่ถืออยู่ เพื่อแก้ปัญหาของข้อมูล
การ Verify by Visa มันจะมีข้อดี คือ เรื่องการรักษาความปลอดภัย แต่ ข้อเสีย ก็มีในเรื่องของ บริการของทางธนาคารที่ต้องรับผิดชอบบัตรเครดิต ยังมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอในการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างเร่งด่วน
ยกตัวอย่างเช่น บัตรเครดิตมีการใช้ Verify แล้ว
เมื่อบัตรเครดิต ของเรามีการผ่านการ Verify แล้วลืม Password การแก้ปัญหา แบบ Online ยังไม่สามารถทำได้ ทุกอย่างต้องมีการเสริมด้วยการเข้าไปที่ เบอร์ Call Center ที่จะต้องเข้าไปตอบข้อมูลหลาย ๆ อย่างทางโทรศัพท์ ซึ่ง ถ้าสินค้าหลัก พัน บาท มีทางเลือก 2 ทาง คือ 1 ไม่เอา 2 ยอมเสียเวลา
นี่คือ ขั้นตอนง่าย ๆ บางส่วนสำหรับการ Verify by Visa ที่เหมือนเส้นผมบังภูเขา ว่าทำไม กลุ่ม ลูกค้ากลุ่มหนึ่งเราถึงไม่มียอดขาย อาจจะมีทั้งข้อดีและข้อเสียของระบบดังกล่าวในการทำ E-Commerce ในประเทศไทย
ความรู้อื่น ๆ copy มา
ตัวเลขบนบัตรเครดิต ???
1. เค้ารู้ได้งัยว่า เลขบัตรเครดิตนั้นถูกต้อง ?
2. บัตรเครดิต นั้น เป็นของ อะไร , visa , master, .. ?
ถ้าจะอธิบายคงต้องเริ่มจาก คำถามที่ 2 ก่อนดีกว่า
ถาม รู้ได้งัยว่าบัตรเครดิตนั้นเป็นของอะไร ?
โครงสร้าง ของ ตัวเลขบนบัตรเครดิต
1st digit : the Major Industry Identifier (MII) : จะบอก ประเภทของธุรกิจที่่เป็นคนออกบัตรให้คุณใช้ .. เช่น Visa, Mater Card, American express , ..
MII Digit Value | Issuer Category |
---|---|
0 | ISO/TC 68 and other industry assignments |
1 | Airlines |
2 | Airlines and other industry assignments |
3 | Travel and entertainment |
4 | Banking and financial |
5 | Banking and financial |
6 | Merchandizing and banking |
7 | Petroleum |
8 | Telecommunications and other industry assignments |
9 | National assignment |
ส่วนมากที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยก็คงต้อง ขึ้นด้วยเลข 3, 4 และ 5 .. เอ้าถึงเวลาควัก บัตรเครดิตกันออกมาดูหน่อยซิ
ตอบ อืมม ถูก ของผม ขึ้นด้วย เลข 4 เกี่ยวกับ Banking and financial จริงๆ
ถามต่อ แล้วจะรู้ได้งัย อ่ะ ว่าบัตรผมเป็น Visa , Master card หรือ American Express … ?
ตอบ ดูที่ 6 digits แรกครับนับ รวม MII เข้าไปด้วยนะครับ ตามตารางข้างล่างเลย ไม่ผิดเพี้ยนไปจากนี้แน่นอน
Issuer | Identifier | Card Number Length |
---|---|---|
Diner’s Club/Carte Blanche | 300xxx-305xxx, 36xxxx, 38xxxx |
14 |
American Express | 34xxxx, 37xxxx | 15 |
VISA | 4xxxxx | 13, 16 |
MasterCard | 51xxxx-55xxxx | 16 |
Discover | 6011xx | 16 |
เออ จริงแฮะ ของผมขึ้นด้วยเลข 4 เป็น VISA
ถาม แล้วตรงไหนมันถึงจะบอกหมายเลขบัญชีของผมจริงๆ ล่ะเนี่ย ?
ตอบ เดาถูกครับ ก็ ตั้งแต่ ตำแหน่งที่ 7 เป็นต้นไปนั่นแหละ จนถึงตัวเลขก่อนสุดท้ายครับ (? ก่อนสุดท้าย)
เพราะว่าตัวเลขก่อนสุดท้าย คือ ตัวเลขที่เอาไว้ check ความถูกต้องครับของตัวเลขบนบัตรของคุณครับ (กลับไปคำถามแรก) … ซึ่งถ้าอยากเรียกแบบ เท่ ๆ ก็ได้ เราเรียกตัวเลขที่ทำหน้าที่แบบนี้ว่า “Check Digit“
ถาม แล้วเค้ารู้ได้งัยว่า เลขบัตรเครดิตนั้นถูกต้อง ?
ตอบ ใช้ the Luhn algorithm ครับ
Luhn Algorithm
1. เขียน หมายเลขบนบัตรเครดิตของคุณ
4408-0412-3456-7890
2. คูณด้วย 2 โดยเริ่มจากตำแหน่งก่อนสุดท้าย ตัวเว้นตัว ( ห้ามคูณ 2 ที่ chek digit)
(4*2) 4 (0*2) 8 – (0*2) 4 (1*2) 2 – (3*2) 4 (5*2) 6 – (7*2) 8 (9*2) 0
จะได้
(8 ) 4 (0) 8 – (0) 4 (2) 2 – (6) 4 (10) 6 – (14) 8 (18 ) 0
3. ถ้ามีตัวไหนเกิน 10 ให้ ลบด้วย 9
(8 ) 4 (0) 8 – (0) 4 (2) 2 – (6) 4 (10-9) 6 – (14-9) 8 (18-9) 0
จะได้
(8 ) 4 (0) 8 – (0) 4 (2) 2 – (6) 4 (1) 6 – (5) 8 (9) 0
4. นำตัวเลขที่ได้มาบวกกันทั้งหมด
(8 ) + 4 + (0) + 8 + (0) + 4 + (2) + 2 + (6) + 4 + (1) + 6 + (5) + 8 + (9) + 0
จะได้ผลลัพธ์คือ
67
5. mod 10 ถ้าได้ 0 คือตัวเลขที่ถูก แต่ถ้าไม่ใช่ 0 คือผิด
ในที่นี้ ผลลัพธ์ 67 mod 10 ได้ 7 แสดงว่าเลข credit card ชุดนี้ผิดครับ
แต่อย่าเพิ่งตกใจ !! … เรามีวิธีที่ทำให้เลขชุดนี้ถูกต้อง คือ ใช้ check digit นี่แหละครับ เพราะ check digit ไม่ต้องคูณกับ 2 และเป็นตัวเลขที่ไม่ีมีอะไรมายุ่งกับมัน .
ดังนั้น ถ้าเราต้องการทำให้เลขชุดนี้ถูกต้อง เราต้องมาแก้ที่ค่าของ check digit ครับ
เนื่องจากผลลัพธ์ที่เราได้คือ 67 ซึ่ง mod 10 แล้วไม่เท่า่กับ 0 ดังนั้น
เราต้องคิดว่าจะทำยังงัย ให้ 67 mod 10 แล้วเท่ากับ 0 ,ตอบ เราต้องเอา 67 บวก 3 จะได้ 70 ครับซึ่ง 70 จะ mod 10 แล้วได้เท่ากับ 0 .. แน่นอนการบวก 3 เราก็ต้องไปบวกกับ ตัวเลขในตำแหน่งที่ไม่มีอะไรมายุ่งกับมัน หรือ เรียกให้เท่ ๆ อีกว่า ค่าคงที่ ซึ่งในที่นี่คือ Check digit นั่นเอง
สรุปจะได้ ตัวเลขที่ถูกต้องเป็น 4408-0412-3456-7893 ครับ