ไม่ค่อยชอบ Facebook เพราะมาหา Feed ยาก copy ตัดลง Blog ไว้อ่านยามว่าง ไม่ได้แสวงหากำไร
Design ใน Digital ต่างจาก Design ใน Traditional อย่างไร
หลาย ๆ คนนั้นคงประสบปัญหาจากคนที่ทำงาน Traditional มาทำงาน Design ใน Digital แล้วไม่เวิร์ค หรือทำ Campaign ใน Digital ที่ออกแบบสวยหรู อลังการ แบบที่คนน่าจะเล่นแต่สุดท้ายไม่มีใครเล่นนั้น นั้นเป็นเพราะอะไร
นั้นเป็นเพราะ Design ใน Digital มันไม่ใช่แค่เรื่อง Design นั้นเอง แต่มันเป็นเรื่อง Science of interaction นอกจากเรื่องความสวยงาม
1. Traditional Design นั้นไม่มีเรื่องที่ต้องคิดประสบการณ์ของปฏิสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้น แต่ใน Digital นั้นมีประสบการณ์ที่หน้า Design นั้นต้องตอบโต้กับคนเล่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งงาน Design ใน digital ที่ดี ไม่ใช่สวย แต่ต้องให้ประสบการณ์ที่ดีมากก่อน (User Experience) เปรียบเทียบได้กับ Furniture ที่ออกแบบมาอย่างดี สวยมาก ราคาแพง แต่กลับกลายเป็นว่านั่งไม่สบาย นั่งแล้วปวดหลัง ทำให้สุดท้ายแล้วได้แต่ตั้งโชว์ ไม่มีใครใช้ นี้ก็เหมือนการ Design ใน Digital ของที่ Design ออกมาต้องทำให้คนนั่งได้สบายก่อน แล้วความสวยจึงวัดรองลงมา
2. Traditional นั้นไม่ต้องคิดเรื่องใช้งานง่าย เพราะงาน Tradional Design หลายอันใช้เพื่อมองเป็นส่วนใหญ่ และให้ไปคิดตาม แต่งาน Digital Design นั้นต้องออกแบบมาเพื่อให้งานง่าย ไม่ต้องมานั่งอธิบายและคนใช้ต้องคุ้นชินทันที เปรียบได้กับการออกแบบ โคมไฟ ที่ออกแบบมาส่วน แต่ดันซ่อนปุ่มการใช้งานเพราะอยากให้มันสวย สุดท้ายมันใช้งานยากมาก เพราะไม่รู้ปุ่มมันอยู่ไหน สู้กับโคมไฟธรรมดาที่รู้ว่าปุ่มมันอยู่ไหนแล้วใช้ได้เลย เพราะฉะนั้น Digital Design ต้องเข้าใจเรื่องหน้าตาที่ออกแบบ (User Interface) ว่ามันจะถูกใช้งานให้ง่ายสุดยังไง
3. Traditional Design สนใจเรื่องการดึงดูดให้เข้ามาสนใจก่อน แต่ Digital Design นอกจากจะต้องดึงดูดให้เกิดความสนใจแล้ว ยังต้องทำให้ดึงดูดให้เกิดการใช้งานด้วย เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่คุ้นชินกับผู้บริโภคหรือรู้สึกขัดใจในสิ่งที่ผู้บริโภคคิดจะถูกไม่ใช้ทันที เพราะฉะนั้นศึกษาให้ดูว่าผู้บริโภคอยากได้อะไร ไม่ใช่ตัวเองอยากได้อะไร
4. Traditional Design ไม่ต้องแลกเปลี่ยนอะไรนอกจากความสนใจ แต่ Digital Design มันคือ กฏแห่งการเลือกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียม เพราะใน Digital Design เพราะทุก ๆ อย่างที่เราออกแบบนั้นไม่ใช่แค่ออกแบบเพื่อสวยดึงความสนใจ แต่เราต้องให้อะไรกลับที่คุ้มค่าหรือมากกว่าที่ผู้บริโภคจะออกแรงออกมา เพราะผู้บริโภคจะเข้ามาใช้หรือเล่นกับ Digital Design นั้นก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่ทำนั้นตรงกับความต้องการ หรือได้อะไรตอบแทนมากกว่าที่เล่น เช่นลงแรงหนึ่ง ได้ล้านกลับแบบนี้
5. Digital Design ไม่ใช่แค่ Design เพราะเบื้องหลัง Design นั้นมี CSS และ Code Programming มากมาย การออกแบบให้สวยงามยังไง แต่เทคโนโลยีไม่สามารถให้จัดเรียงตามที่ออกแบบมาได้นั้นไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นการทำ Digital Design ก็ต้องเข้าใจขีดจำกัดเทคโนโลยีว่ามันทำได้แค่ไหน นอกจากนี้การทำ Digital Design ไม่ใช่แค่แก้การออกแบบก็เสร็จ แต่ทุกอย่างมันต้องไปไล่แก้ Code และ CSS ใหม่หมด ถ้าเปรียบเทียบให้ก็คือ เหมือนแก้คำผิดหนึ่งคำในหนังสือ แล้วต้องไปนั่งหาคำผิดนั้นโดยไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนในหนังสือ ซึ่งมันใช้เวลาไม่ใช่ว่ากิ๊กเดียวเสร็จ
6. Traditional Design ไม่ต้องสน Device Display และ Channel Display แต่ Digital Design ต้องสน Device Display และ Channel Display ด้วย เพราะการแสดงผลบนเครื่องมือที่แตกต่างกันก็มีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน เช่นการแสดงผลบนคอมพิวเตอร์ใช้เมาส์ หรือ Touchpad ในการเล่นและควมคุม แต่ใน Mobile ก็ต้องคิดว่าเป็นนิ้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องออกแบบให้เหมาะกับ Interaction แต่ละแบบอีกด้วย นอกจากนี้ก็ต้องคำนึงไปยัน Channel ที่จะออก เพราะแต่ละ Channel ก็มีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน เช่น Facebook คนดูคลิปไม่ดูเสียง กด Interaction ไม่ได้เลย Youtube กด Interaction ได้คนตั้งใจดูวิดีโอมากกว่า และเว็บคนอยากเข้ามาหาข้อมูล เพราะฉะนั้นการออกแบบต้องเข้าใจพฤติกรรมแต่ละ Platform ด้วย
7. Traditional Design สุดท้ายแล้วมันจะถูกเป็น Push Media คือคนจะถูกบังคับให้เห็นซึ่งสุดท้ายคนจะสนใจไม่สนใจก็ต้องเห็นผ่าน ๆ แต่ Digital Design ทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่จะเข้าไปดู หรือไม่เข้าไปดู ถ้าหนักหน่อยก็รีพอร์ตมันเลยในฐานะที่สร้างความรำคาญ ถ้าดีหน่อยก็แชร์ให้คนอื่นมาเล่น เพราะฉะนั้นการคิดแบบ Digital Design นั้นต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมคนถึงอยากมาเล่นเรา แล้วถ้าเป็นคนทั่วไปมันจะมาเล่นไหม
8. Traditional Design วัดด้วย Eyeballs และ GRP แต่ Digital Design เราวัดสากะเบือยันเรือรบ เพราะทุก ๆ อยากที่วางในหน้าดีไซน์มีความหมาย เราสามารถวัดได้ตั้งแต่ Heatmap ว่าคนมองตรงไหน วัดอัตราการกดว่าคนกดตรงไหนมากที่สุด วัดว่าคนมาเล่นแค่ไหน วัดว่าคนดูแค่ไหน ทุกอย่างออกมาเป็นค่าตัวเลขหมด เพราะฉะนั้นใน Digital Design ทุกอย่างมันวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากผลวิจัยหมด มันไม่มีความเชื่อจากที่มโนมาเอง
9. Traditional Design ไม่สามารถทำ A/B Testing ได้ แต่ Digital design เราทำได้ เราสามารถสร้างสมมุติฐานว่าอะไรจะเวิร์ค หรือไม่เวิร์คแล้วทำการทดลองเพื่อหาว่าดีไซน์แบบไหนจะได้ผลไม่ได้ผล และทำให้เกิดการดีไซน์ที่ดีที่สุดได้ เพราะฉะนั้น Mindset แบบออกแบบแล้วเสร็จเลยจะไม่มีใน Digital เพราะ digital มีแต่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการออกแบบ
10. Traditional Design ไม่ต้องคิดถึง Call To Action ที่ต้องปฏิสัมพันธ์เลย แต่ Digital Design ต้องคิดถึง Call To Action ว่าจะให้เค้าทำอะไรแล้วการทำนั้นจะพาคนที่เล่นไปทำอะไรต่อ เพราะการคิดต้องคิดต่อว่าถ้าผู้บริโภคไม่ทำต่อจะทำยังไง ซึ่งมันก็มีหลักการอยู่ว่า Call To Action ต้องทำให้ไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ต้องให้ผู้บริโภคออกแรงน้อยสุด และต้องมีทางให้ผู้บริโภคเลือกด้วย การเข้าใจ Call To Action และ Process การทำงานของ Digital Behavior นั้นเป็นเรื่องสำคัญ
จริง ๆ แล้วมีคนทำ Tradional Design มาทำ Digital Design ได้ดิบได้ดีกันหลาย ๆ คน เพียงแค่เค้าเปิดใจที่จะเรียนรู้วิธีคิดแบบ Digital ที่การใช้งานง่ายประสบการณ์ทีดี เข้าใจผู้บริโภคในดิจิทัล นั้นมาก่อนความสวยงามและความต้องการตัวเอง ถ้าเพียงหยุดความกลัว โละอคติออกไป การทำ Digital Design นั้นก็ไม่ยากสำหรับคน Traditional หรือถ้าไม่เข้าใจ ก็หัดฟังและเชื่อคนทำ Digital แทน
Credit by Molek chakard chalayut